วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

ครุฑ นาค ตำนานแค้นสองเผ่าพันธุ์

ครุฑ นาค ตำนานแค้นสองเผ่าพันธุ์


ตามตำนานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่า ในครั้งบรรพกาลยังมีมหาเทพฤษีองค์หนึ่งนามว่า พระกัศยปมุนี ซึ่งเป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากและเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์จนถูกเรียกขานว่า พระกัศยปเทพบิดร พระองค์มีชายาหลายองค์ โดยในบรรดาชายาทั้งหลายนั้นมีชายาสององค์ซึ่งเป็นพี่น้องกันนามว่า วินตาและกัทรุ
garuda
นางทั้งสองได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา ซึ่งเมื่อนางคลอดบุตร ก็ปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง ด้วยความทนรอดูหน้าบุตรไม่ไหว นางจึงทุบไข่ฟองหนึ่งและปรากฏเป็นเทพบุตรที่มีกายเพียงครึ่งบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาที่ทำให้ตนออกจากไข่ก่อนกำหนดจนมีร่างกายไม่ครบ จึงสาปให้มารดาของตนต้องเป็นทาสนางกัทรุโดยกำหนดให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู และรอจนถึงกำหนด จนเมื่อไข่ฟักออกมา ก็ปรากฏเป็น พญาครุฑ ซึ่งเมื่อแรกเกิดนั้นก็มีร่างกายขยายออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตายามกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกคราใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ
ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้ท้าพนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ (บางตำราก็ว่าม้าทรงรถของพระอาทิตย์) ที่เกิดเมื่อคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาว ส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า (บางตำนานว่าให้พ่นพิษใส่จนม้าเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายนี้เลยยอมแพ้ จนต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบถึงสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาส จึงไปเจรจาขอให้พวกนาคยอมปล่อยมารดาตน พวกนาคจึงสั่งให้พญาครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้เพื่อแลกกับอิสรภาพของนางวินตา พญาครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์ แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมาและเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ ร้อนถึงพระวิษณุหรือพระนารายณ์ต้องมาช่วยขวางครุฑไว้และต่อสู้กัน ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึก โดยพระวิษณุทรงให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุและเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักบนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า
จากนั้น พญาครุฑก็นำหม้อน้ำอมฤตลงมา ทว่าพระอินทร์ได้ตามมาขอคืน พญาครุฑก็บอกว่าตนจำต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้เหล่านาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาสและให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง จากนั้นครุฑได้เอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคาและได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด (ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาให้เป็นอิสระ
naga
ขณะที่เหล่านาคพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อเตรียมมาดื่มน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็รีบมานำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้พวกนาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้)
แม้ว่าจะไถ่ตัวมารดากลับมาได้แล้ว แต่พญาครุฑยังแค้นใจที่พวกนาคใช้เล่ห์กลจนมารดาของตนต้องตกเป็นทาส ทำให้พญาครุฑและเหล่าลูกหลานรุ่นต่อมา ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกนาค โดยเหล่าครุฑจะโฉบลงมายังมหาสมุทรและโฉบนาคไปฉีกท้องจิกกินมันเปลวและทิ้งร่างไร้ชีวิตของนาคตกลงมหานที ข้างฝ่ายพวกนาคนั้นแม้จะพยายามต่อสู้แต่ก็ไม่อาจสู้ไหวจึงพากันเลื้อยหนีไปหลบภัยยังสะดือทะเล แต่ก็ถูกครุฑใช้ปีกโบกสะบัดจนน้ำลดแห้งและจับนาคไปฉีกท้องกิน เหล่านาคจึงพยายามกลืนหินใหญ่ลงท้องเพื่อถ่วงตัวให้หนัก ครุฑตนใดไม่รู้อุบายเวลาโฉบลงจับนาคก็ถูกหินที่นาคกลืนลงไปถ่วงน้ำหนักจนบินขึ้นไม่ไหวและจมน้ำตายส่วนครุฑที่รู้อุบายนี้ก็จะจับนาคทางหางและเขย่าจนนาคต้องคายหินออกมา
และนี่เองคือเรื่องราวความพยาบาทของพญาครุฑและพญานาค สองเผ่าพันธุ์สัตว์เทพเจ้าในตำนาน


ที่มา:http://www.komkid.com/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%992%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2/

เรียนบริหารทรัพยากรมนุษย์ จบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง

เรียนบริหารทรัพยากรมนุษย์ จบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เรียนการจัดการทรัพยากรมนุษย์

ตอนนี้เราเรียนปีหนึ่งบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด สาเหตุที่เราเลือกสาขานี้เพราะคิดว่าจบไปแล้วมันมีงานรองรับเยอะดี เพราะมันเป็นสาขาที่กว้าง ทำงานได้หลายอย่าง แต่พอเรียนไปแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าไม่เหมาะกับตัวเอง เราเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่ค่อยชอบแสดงออกมากนัก ปกติเราก็ไม่ค่อยพูดคุยกับเพื่อนในสาขาการตลาด จะไปคุยกับเพื่อนเอกอื่นมากกว่า เพราะเพื่อนๆที่เรียนการตลาดส่วนใหญ่จะเป็นพวกคุยเก่ง แสดงออกเก่ง เป็นนักกิจกรรมตัวยง ดูไฮโซ(ภายนอกนะ) เราเลยไม่ค่อยอยากสนิทสนมซักเท่าไหร่ 
ถ้าถามว่าเราเรียนไหวมั้ย เรายังเรียนไหว เทอมแรกก็ได้เกรดสามกว่าๆ แต่เราเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าจบไปแล้วเราจะไปทำอะไร จะได้ทำงานตรงกับที่เรียนมามั้ย เพราะเราพูดและแสดงออกไม่เก่งเลย พรีเซนต์ โปรโมตโฆษณาอะไรก็ไม่เก่ง และไม่ชอบด้วย(เราคิดว่ามันเหมือนเป็นการหลอกลวงนิดๆ) เรายังไม่รู้จุดหมายปลายทางของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรตอนเรียนจบไปแล้ว ถามว่าเราชอบการค้าขายมั้ย บอกได้เลยว่าไม่ เราไม่ค่อยชอบอะไรที่มันต้องเจรจาต่อรองมาก แต่เราก็คิดว่าในชีวิตเราก็ต้องวุ่นอยู่กับงานพวกธุรกิจ เพราะขนาดที่บ้านเรายังทำธุรกิจเลย ตอนนี้เราเกิดสนใจที่จะเรียนสาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์มากกว่า เพราะเราสนใจเกี่ยวกับจิตวิทยา เราคิดว่าสาขานี้มันก็ต้องพูดเยอะเหมือนกัน เพราะมันเกี่ยวกับมนุษย์ แต่เพื่อนที่เรียนอยู่บอกว่าไม่ต้องพูดเก่งแบบการตลาด และอาจารย์ที่สอนการตลาดก็บอกว่าพวกที่เรียนบริหารทรัพยากรมนุษย์จะเป็นพวกเงียบๆ ไม่ค่อยวุ่นวายกะใครนัก เราก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ย 

ที่มา:https://www.dek-d.com/board/view/1588295/

แนะนำ 8 สาขาในคณะบัญชี/บริหารธุรกิจ ที่น่าเรียน

 แนะนำ 8 สาขาในคณ แนะนำ 8 สาขาในคณะบัญชี/บริหารธุรกิจ ที่น่าเรียนะบัญชี/บริหารธุรกิจ ที่น่าเรียน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การจัดการจบมาทํางานอะไร

สวัสดีครับ.. คณะบริหารธุรกิจ ถือเป็นคณะแชมป์เก่าที่มาแรงมากทุกปี เพราะว่าสามารถสอบเข้ากันได้ทั้งสายวิทย์และสายศิลป์กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในปีนี้แอดมิชชั่นปี 53 เพราะจากสถิติโปรแกรมคำนวณคะแนนแนะกันให้ติดชัวร์แอดมิชชั่น 2553 ของเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม มียอดการคำนวณเฉพาะคณะบริหารธุรกิจสูงถึง 2 ล้านคน มีสาขาอะไรบ้างนั้น เราไปดูกันเลยคร๊าบ 
>> สาขาวิชาการตลาด 
   สาขานี้ยอดนิยมตลอดกาล เรียนเกี่ยวกับการวางแผนการตลาดอย่างสร้างสรรค์ เรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค การวิจัยการตลาด การส่งเสริมการขาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ประโยชน์ในการวางแผนทางการตลาด จบไปก็จะได้ทำงานเกี่ยวกับ การขาย นักวิจัยการตลาด นักบริหารลูกค้าสัมพันธ์ นักบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งงานด้านนี้กว้างมาก มีบริษัทรองรับหลากหลาย เรียกกันได้ว่าจบไปไม่มีตกงานแน่นอน แถมสาขานี้ถ้าทำงานไปแล้วเก่งจริงล่ะก็ เงินเดือนสูงลิ่วแซงเพื่อนๆที่เรียนคณะอื่นๆกันเลยทีเดียว 
>> สาขาวิชาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ 
   โอ้ โห้ แค่ชื่อก็กินขาดแล้วสำหรับสาขานี้ เพราะดูเป็นสมัยใหม่เข้าใจวัยรุ่นมากๆ ซึ่งใน 4 ปีก็จะได้เรียนเกี่ยวกับหลักการบริหาร และวางแผน การจัดการเชิงกลยุทธ์ ขั้นตอน และหลักการตัดสินใจ อีกทั้งคณะนี้จะส่งเสริมให้ได้ใช้ไอเดียของตัวเองมาริเริ่มในการประกอบ ธุรกิจตามที่ชื่นชอบอีกด้วย จบไปก็จะมีโอกาสก้าวสู่อาชีพในฝัน ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ ผู้จัดการสำนักงาน ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าของธุรกิจส่วนตัว 
>> สาขาวิชาการบริหารองค์กร และทรัพยากรมนุษย์ 
   สาขานี้จะเหมาะสำหรับน้องๆที่ชอบการทำงานกับ คน เพราะเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร และพัฒนาคน รวมถึงมุ่งเน้นการฝึกให้ใช้แนวคิดไอเดียของตนเองเอามาวางแผนกำลังคน การสรรหาคัดเลือกบุคคลที่มีคุณภาพ การฝึกอบรม และการพัฒนา การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน และแรงงานสัมพันธ์ จบออกไปอาชีพที่รอต้อนรับอยู่ ก็จะเป็น ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ผู้จัดการแผนกการจ้างงาน ฝ่ายแรงงานสัมพันธ์ หรือฝ่ายบุคคลนั้นเอง 
>> สาขาวิชาการเงิน 
   ใคร ที่มีความฝันอยากเป็นหนุ่มสาวธนาคาร ต้องเรียนสาขาการเงินนี้เลย เพราะหลักสูตรจะเน้นการบริหารการเงินอย่างสร้างสรรค์ รอบรู้แนวคิด และหลักโครงสร้างการบริหารสถาบันการเงิน และตลาดหลักทรัพย์ หลักการลงทุน นโยบายการเงิน การคลัง ตลอดจนกฏหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สาขานี้จบไป ไม่ได้ไปเป็นพนักงานตามเคาท์เตอร์ธนาคาร ที่เราเห็นๆกันอยู่หรอกนะครับ อิอิ แต่จะเป็นงานเกี่ยวกับ การบริหารการเงิน นักวิเคราะห์ และบริหารสินเชื่อ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักการธนาคาร หรืองานที่เกี่ยวกับปริวรรตเงินตราต่างประเทศ ยิ่งสามสี่อันหลังนี่ถ้าใครเก่งจริงๆ เงินเดือนสูงปรี๊ดดดด จนเพื่อนๆคณะอื่นพากันอิจฉาไปตามๆกันเลยทีเดียว 
>> สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 
   สาขายอด นิยมของคนที่ชื่นชอบทั้งคอมพิวเตอร์ และการบริหารฯ สาขานี้จะเรียนโดยสอนให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การเป็นนักบริหารด้าน คอมพิวเตอร์ เสริมศักยภาพระดับสูงด้วยการมีความคิดสร้างสรรค์ในด้านการบริหารธุรกิจ มีการเรียนใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เทคโนโลยีสารสนเทศ และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จบออกมาอาชีพที่รอต้อนรับอยู่นั้นก็คือ งานด้านไอที คอมพิวเตอร์ ต่างๆ แถมยังสามารถเข้าไปแย่งงานของสายกราฟิคดีไซน์ กับวิศวะคอม ได้ด้วยนะ เช่น นักออกแบบกราฟิกคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ และวิเคราะห์ระบบงาน นักวิเคราะห์ทางธุรกิจ ผู้ดูแลเว็บไซต์ และผู้ให้คำปรึกษาด้านคอมพิวเตอร์ แต่สายนี้จะมีความละเอียดหน่อยนึง คำแนะนำของพี่หนึ่งคือ ถ้าชอบแต่คอมพิวเตอร์ ไม่ได้ชอบการบริหารล่ะก็ ให้ไปเรียนวิศวะคอมหรือวิทยาคอมเลย เพราะวิศวะกะวิทยาคอมจะเรียนคอมพิวเตอร์ 100% เลย แต่สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจนี้จะแบ่งเรียนคอม 50% การบริหาร 50% ครับ 
>> สาขาวิชาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ 
   สาขา ในฝันของเด็กสายศิลป์ หรือสายวิทย์(แต่มีหัวใจศิลป์) สาขานี้จะส่งให้กลายเป็นนักบริหารจัดการธุรกิจระหว่างประเทศรุ่นใหม่ ที่ก้าวไกลด้วยความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มีแนวคิดทางด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมีระบบ คนที่เรียนสายนี้จะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยเป็นว่าเล่นเลย ถ้าใครชอบเดินทางล่ะก็ เหมาะสุดๆ ด้านอาชีพที่รองรับจะเป็นพวก นักวิชาการ นักวิจัยด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ นักธุรกิจด้านการนำเข้า และส่งออก หรือที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจระหว่างประเทศ 
>> สาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจ 
   กลาย เป็นสาขาใหม่ที่มาแรงมากๆ สำหรับสาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะหนุ่มสาวนักศึกษาล่าฝันทั้งหลายจะได้ฝึกฝนให้ได้เริ่มต้นก้าวไปสู่การ เป็นผู้ประกอบการ เป็นเจ้าของธุรกิจที่โดดเด่น จบมาไม่อยากเป็นลุกจ้าง อยากเปิดร้านขายเสื้อผ้า อยากเปิดร้านอาหาร ต้องสาขานี้เลย พร้อมเรียนแบบรู้ลึก และเข้าใจแนวคิดในการประกอบธุรกิจอย่างมีระบบ และสามารถผสานความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การสร้างธุรกิจในฝันของคุณ คนที่จบสาขานี้ส่วนใหญ่เปิดธุรกิจส่วนตัวได้ง่ายๆ สบายมาก ^_^ 
>> สาขาวิชาการบัญชี 
   นี่ก็เป็นอีกสาขานึงที่ได้รับความนิยมกันอย่างมาก เพราะตำแหน่งงานเปิดกว้างกันมาก น้องๆที่เรียนจะได้ทำงานที่เกี่ยวกับ งบ งบดุล บัญชี ใบองค์กรต่างๆ หรือออกมาเปิดสำนักงานบัญชีของตัวเองก็ได้ (น้องๆคงจะเคยเห็นสำนักงานรับทำบัญชีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เพียบเลย) คนที่เรียนสาขานี้จะต้องมีความรักในตัวเลขมากเป็นพิเศษ เพราะงานที่ทำจะเกี่ยวกับตัวเลข ไม่มีการอินทิเกรตซับซ้อนอะไรหรอกนะ มีแค่การบวกลบคูณหารเท่านั้นเอง (แต่เยอะมวากกกกก) สาขานี้จบออกมาจะได้ทำงานเป็น นักบัญชี นักบริหารภาษี แถมสาขานี้ยังมีการอัพเกรดโดยการสอบผู้ตรวจบัญชี ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีนี้เป็นที่ต้องการและขาดตลาดมากๆ ในไทยมีคนสอบได้รวมทั้งหมดแล้วไม่กี่พันคนเองนะ หากเป็นได้แล้วไม่เพียงแค่ไม่ตกงาน แต่จะเงินเดือนสูงลิ่วๆเลย คนสอบได้จะได้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ว่ากันว่าผู้ตรวจสอบบัญชีนี้ ลายเซ็นต์ของเขาแกร๊กเดียว เท่ากับเงินเดือนของเพื่อนๆคณะอื่นทั้งเดือนกันเลยทีเดียว 


ที่มา : https://www.dektalent.com/board/view.php?topic=180

เพื่อน


เพื่อน
ในภาพอาจจะมี 15 คน, คนที่ยิ้ม, ผู้คนกำลังนั่ง

      จากกันวันนี้ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่เราจะได้มาไหมต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันไปคนล่ะทางทุกคนต่างมีความฝันเป็นของตัวเองไม่มีใครคาดเดาได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรแต่ที่รู้ๆว่าสถานบันแห่งนี้ทำให้เราได้รู้จักกันได้เรียนรู้อะไรมากมายถึงแม้ว่าพวกเราจะเคยทะเลาะกันแต่ในวันนี้เราก็ดีกันและพวกเราใช้ชีวิต ม.ปลายได้เต็มที่ และวันหนึ่งเราจะต้องมาเจอกันแต่บางครั้งมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดถ้าวันนั้น้ราได้มาเจอกันจริงๆ เราอาจจะไม่สนิทสนมกันเหมือนตอนนี้แล้วก็ได้ ทุกคนต่างมีความฝันเป็นของตัวเองทุกคนต้องแยกย้ายมามีครอบครัวไม่แน่เราอาจจะมานั่งย้อนวันวานกันก็ได้เราเชื่อน่ะว่าความเป็นเพื่อนของพวกเราจะไม่มีวันจากหาย...เราคงยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เพื่อนบางคนก็เรียนไม่จบบางคนเรียน...แต่แล้วทุกคนๆก็ประสบผลสำเร็จกันทุกคน
.....ถึงแม้มันจะสั้นไปแต่เจอเถอะมิตรภาพของพวกเรามันยังคงที่

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

สูตรข้าวเกรียบปากหมอและสาคูไส้หมู


👊ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู อาหารว่างแบบ👊👉ไทย ๆ ยอดนิยม👈
สาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมไทยยอดนิยม

ข้าวเกรียบปากหม้อ เจอกี่ทีก็ต้องจัด ขายคู่กับสาคูไส้หมูเหนียวหนึบ อาหารว่างไทยแท้กินเพลินจนอยากจะลองขึงผ้าทาแป้งห่อไส้เองบ้าง น่าจะสนุก

          ข้าวเกรียบปากหม้อ อาหารว่างแบบไทย ๆ ที่ไม่ว่าจะขายที่ไหน กลิ่นหอม ๆ ก็มักจะโชยมาแตะจมูกจนเราต้องหยุดซื้อทุกทีสินะ และเชื่อว่ามีครอบครัวคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะทำขนมข้าวเกรียบปากหม้อกินเอง โดยเฉพาะข้าวเกรียบปากหม้อไส้หมู เพราะได้ทั้งความอร่อยแล้วยังสนุกสนานในการทำอีกด้วย รู้อย่างนี้กระปุกดอทคอมก็ไม่รอช้าหรอกค่ะ ขอนำเสนอวิธีทําข้าวเกรียบปากหม้อโบราณ และจูงมือเพื่อนซี้อย่างวิธีทำสาคูไส้หมูมาด้วย เตรียมตัวมาจดสูตรข้าวเกรียบปากหม้อไปได้เลยฟรี ๆ แถมสูตรนี้บอกเลยว่า แป้งข้าวเกรียบปากหม้อเหนียวนุ่มสุด ๆ

ส่วนผสม แป้งข้าวเกรียบปากหม้อ

          • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย 
          • แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ 
          • แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ 
          • น้ำเปล่า 3 ถ้วย

ส่วนผสม แป้งสาคู

          • สาคูเม็ดเล็ก 3 ถ้วยตวง 
          • น้ำร้อน (สำหรับนวดแป้ง) 

ส่วนผสม ไส้หมู

          • พริกไทยขาวเม็ด 1/2 ช้อนชา 
          • รากผักชีสับ 2 ช้อนโต๊ะ
          • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ  
          • น้ำมันพืช (สำหรับผัดไส้) 2 ช้อนโต๊ะ
          • หมูสับ 500 กรัม 
          • หอมแดง (หั่นเล็ก ๆ) 400 กรัม 
          • หัวผักกาดเค็มสับ 1/2 ถ้วยตวง 
          • ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ 
          • ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ 
          • น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วยตวง 
          • ถั่วลิสงบด 1 ถ้วยตวง

วิธีทำข้าวเกรียบปากหม้อ

          • คนผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งเท้ายายม่อม และน้ำเข้าด้วยกัน เตรียมไว้


วิธีทำแป้งสาคู

          • ล้างเม็ดสาคูให้สะอาดตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ค่อย ๆ เทน้ำร้อนลงในแป้ง นวดจนแป้งเหนียว (ลองจับขึ้นมาปั้นถ้าเป็นก้อนถือว่าใช้ได้แล้ว) เตรียมไว้


วิธีทำไส้หมู

          • 1. โขลกพริกไทย รากผักชี และกระเทียมให้ละเอียดเข้ากัน เตรียมไว้ 

          • 2. เทน้ำมันพืชใส่กระทะนำขึ้นตั้งไฟ ใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดจน หอม ใส่หมูลงผัดจนสุก ใส่หัวหอมแดง และผักกาดเค็ม ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส และน้ำตาลปี๊บ ผัดจนแห้ง และเหนียว ยกออกจากเตา ใส่ถั่วลิสงแล้วกวนให้เข้ากันอีกครั้ง เตรียมไว้ 

+++++++++++++

วิธีทำสาคูไส้หมู

          • 1. เตรียมหม้อสำหรับนึ่งให้พร้อม (ใส่น้ำในหม้อแล้วใช้ผ้าขาว บางขึงให้ตึงบนปากหม้อ) ยกขึ้นตั้งไฟจนน้ำเดือด ตักแป้งสาคูแผ่บางๆ ลงบนปากหม้อ ตักไส้ใส่ตรงกลางแล้วค่อย ๆ จับแป้งสาคูหุ้มไส้จนมิดเป็นก้อนกลม ๆ (อย่าเรียงให้ติดกัน)

          • 2. พรมน้ำบนลูกสาคูให้ทั่ว ปิดฝานึ่งจนสุก ตักขึ้นใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว ทิ้งไว้สักครู่ จึงจัดแต่งให้สวยงามพร้อมรับประทาน

วิธีทำข้าวเกรียบปากหม้อ

          • 1. ละเลงส่วนผสมแป้งลงบนปากหม้อ  ปิดฝานึ่งจนแป้งสุก หรือเป็นสีใส ๆ นำไส้วางตรงกลาง ใช้พายปาดแป้งขึ้นห่อไส้ให้มิด ตักใส่ถาด พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว ทิ้งไว้สักครู่

          • 2. หลังจากนั้นก็ตักทั้งสาคู และข้าวเกรียบปากหม้อใส่จาน จัดให้สวยงาม โรยกระเทียมเจียวตามชอบ รับประทานคู่กับผักกาดหอม ผักชี และพริกขี้หนู พร้อมรับประทาน



ที่มา:https://cooking.kapook.com/view70851.html

8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี



👀8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี👀


1. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 


        มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศไทย และอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชีย "มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง" ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยขนาดกลางที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ท่ามกลางธรรมชาติ ยิ่งในช่วงหน้าหนาวนอกจากอากาศที่เย็น เห็นสายหมอกจางๆ ต้นไม้ดอกไม้ก็พากันบานสะพรั่งทำให้บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยงดงามเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วก็ยังมีต้นไม้ดอกไม้ผลัดกันผลิบาน สร้างสีสันให้กับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง “ต้นเหลืองอินเดีย” ที่บานสะพรั่งเต็มถนน นักศึกษาและคนทั่วไปนิยมไปถ่ายรูปไม่แพ้ดอกชมพูพันธ์ทิพย์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี


 2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน 
        มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมดอก “ชมพูพันธุ์ทิพย์” หรือซากุระเมืองไทย โดยจะออกดอกบานสะพรั่งช่วงต้นปี สีชมพูสวยหวานต้อนรับวาเลนไทน์ ไปจนถึงเดือนมีนาคม ของทุกปี และจะร่วงโรยภายในเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ทำให้นักท่องเที่ยวต่างเดินทางไปเที่ยวชมและถ่ายรูปอย่างมากมาย ไม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปเมืองนอกให้เสียเวลา นอกจากต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ แล้วบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ยังร่มรื่นและสวยงามเป็นอย่างมาก เหมือนนั่งเรียนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ วิวสวยบรรยากาศดี จนต้องไปถ่ายซีรีย์กันเลยทีเดียว

8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

 3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี
        มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือ มทส. ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา บนพื้นที่กว่า 7,000 ไร่ เป็นมหาวิทยาลัยที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติต้นไม้ ตาน้ำ ผืนป่า โดยเฉพาะอุโมงค์ต้นไม้ ของ มทส. เรียกได้ว่าขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม โดยอุโมงค์ต้นจามจุรีนี้ จะอยู่บนถนนเส้นที่จะมุ่งไปยังฟาร์มของมหาวิทยาลัย โค้งรับกับเส้นถนนสวยงามอย่าบอกใคร จนทำให้เป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักศึกษาและประชาชนทั่วไปนิยมมาถ่ายรูป หรือถ่ายพรีเวดดิ้ง กันอย่างมากมาย นอกจากจะเป็นสถานที่ศึกษาหาความรู้แล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยผลการจัดอันดับ “มหาวิทยาลัยสีเขียว 2015” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีติดอยู่ในอันดับที่ 2 ของประเทศไทย


8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

  4. มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี
        อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันดับต้นๆ ของประเทศไทย นอกจากชื่อเสียงด้านวิชาการแล้ว มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ยังมีชื่อเสียงในเรื่องบรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัยที่สวยงาม เต็มไปด้วยต้นไม้ โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ ภายในมหาวิทยาลัยมีบึงสีฐาน ที่มีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์ “นกเป็ดแดง” ที่ใครๆ ต่างเฝ้ารอ ขอนแก่น “เมืองแห่งเสียงแคน ดอกคูน”ดังนั้นภายในมหาวิทยาลัยยังมีการปลูกต้นคูน และดอกกัลปพฤกษ์ ซากุระแดนอีสาน อีกหนึ่งสถานที่ที่ประชาชนนิยมเข้าไปถ่ายรูปเป็นจำนวนมาก บริเวณรอบๆ มหาวิทยาลัย จะมีต้นไม้ดอกไม้สีสันสดใสมากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดคือ สีเหลืองจากดอกคูนและเหลืองเดีย สลับกับสีชมพูจากต้นกัลปพฤกษ์ รวมถึงถนนต้นสักทอดยาวสวยงามดั่งภาพวาด 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี
        
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี


       5. มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ 

        กลับมาที่จังหวัดนครปฐมอีกครั้ง กับความงามแบบคลาสิค จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ ที่เก่าแก่ทรงคุณค่าและงดงาม ภายในมหาวิทยาลัยยังร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ และสระแก้ว สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นเย็นกายเย็นใจ โดยเฉพาะบรรยากาศบริเวณลานอนุสาวรีย์ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะเต็มไปด้วยดอกชมพูพันธุ์ทิพย์สีชมพูบานสะพรั่งทั่วบริเวณ 

       

6. มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี 
        มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี ขึ้นชื่อว่าเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งขุนเขา” โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ เสมือนเรียนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และสัตว์ป่า แม้ที่วิทยาเขตกาญจนบุรีแห่งนี้จะไม่มีดอกไม้สีสันสวยงามบานสะพรั่งเต็มมอก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงกลิ่นอายและวิวสวยๆ ของต้นไม้และขุนเขาแล้วไม่แพ้ที่ใดในโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่วิทยาเขตกาญจนบุรี ยังมีรีสอร์ทอยู่ภายในมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า “วิมานดินรีสอร์ท” เปิดให้คนภายนอกได้เข้าพักอีกด้วย ยิ่งในช่วงหน้าหนาวจะเห็นสายหมอกท่ามกลางขุนเขาสวยติดตราตรึงใจเป็นอย่างมาก 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี

 7. มหาวิทยาลัยนเรศวร 
8 มหา'ลัยไทย วิวส๊วยสวย..บรรยากาศดี๊ดี
        มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ มีชื่อเดิมว่า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น“มหาวิทยาลัยนเรศวร” โดยมีสัญลักษณ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยนั่นก็คือ “องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ โดยเฉพาะลานที่อยู่ใกล้กับหอสมุด ชาว มน. จะเรียกว่าลานเทเลทับบี้ มีลักษณะเป็นเนินหญ้าจะเหมือนในการ์ตูนเทเลทับบี้ และมีการปลูกต้นไม้ประจำจังหวัดในประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย โดยเฉพาะ “ดอกเสลา” ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวรที่ออกดอกบานสะพรั่งเต็มมอ สีชมพูอมม่วงสวยตรึงใจ

 

  8. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 

        แวะลงใต้มาเที่ยวชมมหาวิทยาลัยวลัยลัษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พื้นที่มากกว่า 9,000 ไร่ ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช บรรยากาศรอบๆ มหาวิทยาลัย จะเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ตึกอาคารเรียนไม่สูงมากนัก อากาศเย็นสบายตอนกลางคืน มีต้นไม้เต็มสองข้างทางถนนเข้ามอ และยังมีทะเลสาบด้านหน้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย 
       

ลดน้ำหนัก



ลดน้ำหนัก


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิธีลดความอ้วน



สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน
วันที 1

เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก
วันที 2

เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก
วันที 3

เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือโยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม(หมู, เนื้อ)
เย็น สลัดผัก
วันที 4

เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน สลัดผัก และไก่ยาง 1 ชิ้น
เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย
วันที 5

เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1
กลางวัน ส้มตำ และไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น สลัดผัก
วันที 6

เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล 1 ถ้วย
กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
เย็น สลัดผัก
วันที 7

เช้า ข้าว 1 ทัพพี และเนื้อ 1 ชิ้น หรือไข่ต้ม 1ฟอง
กลางวัน เกาเหลาลูกชั้น 1 ชาม (หมู, เนื้อ)
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น
***หลายคนเข้ามาดูกระทู้นี้แล้วนำสูตรไปใช้ตาม ปรากฎว่าได้ผลกันเป็นแถวๆอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนก็ลดได้น้อย บางคนก็ลดได้มาก ขึ้นอยู่กับความพยายาม และนี่คือตัวอย่างของคนที่สามารถลดน้ำหนักได้จากสูตรนี้




ที่มา:http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/79444.html

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

คุณธรรม


💢 คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ  💢

บทนำ 

กระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรให้ปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการแก่เยาวชนไทย อันได้แก่ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้ำใจ โดยมีจุดเน้นเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ และอยู่ดีมีสุข ด้วยการใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับความร่วมมือของสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนา และสถาบัน การศึกษา การปลูกฝังคุณธรรมจึงหมายถึง การจัดสภาพการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของการมีศีลธรรมและจริย ธรรมในด้านต่างๆ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ และพฤติกรรมที่ดีงาม การพัฒนามนุษย์ตามหลักพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงการฝึกฝนพัฒนามนุษย์ให้สมบูรณ์ตามหลักไตรสิกขา อันประ กอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา หรืออีกนัยหนึ่งคือ พฤติกรรม จิตใจ และปัญญาไปพร้อมกัน โดยเน้นที่การพัฒนาปัญญาเป็นแกนหลักสำคัญของกระบวนการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง สามารถเข้าใจเหตุปัจจัยและแก้ไขปัญหาได้ มีความประพฤติที่เป็นมาตรฐานในสังคม มีจิตใจที่ผ่องใส เบิกบาน เป็นอิสระทั้งภายนอกและภายใน ดับความทุกข์ ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับตน สามารถเป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้


คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการมีความสำคัญและความเป็นมาอย่างไร?
การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งปลูกฝังด้านปัญญา พัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียนให้มีความ สามารถในการคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และมุ่งพัฒนาความสามารถทางอารมณ์ โดยการปลูกฝังให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของตนเอง เข้าใจตนเอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาขัดแย้งทางอารมณ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น การจะพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้ และดำเนินชีวิตที่ดี มีความสุข คุณธรรมพื้นฐานสำคัญที่ควรเร่งปลูกฝังมี 8 ประการ ประกอบด้วยขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ อดทนไม่ท้อถอยเมื่อพบอุปสรรค ความขยันต้องควบคู่กับการใช้ปัญญา แก้ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จตามความมุ่งหมาย ผู้ที่มีความขยัน คือ ผู้ที่ตั้งใจทำอย่างจริงจังต่อ เนื่องในเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคนสู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงจัง ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ผู้ที่มีความประ หยัด คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า รู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเองอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรง ไม่เอนเอียง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มีความจริงใจ ปลอดจากความรู้สึกลำเอียงหรืออคติ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรง ทั้งต่อหน้าที่ ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใช้เล่ห์กล คดโกง ทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบัติอย่างเต็มที่ถูกต้องง มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับ และข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม ผู้ที่มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน/องค์กร/สังคมและประเทศ โดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ สุภาพ คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ ผู้ที่มีความสุภาพ คือ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ ไม่ก้าวร้าว รุนแรง วางอำนาจข่มผู้อื่น ทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคงมีความมั่นใจในตนเอง เป็นผู้ที่มีมารยาท วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมอง ทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใส เป็นที่เจริญตา ทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น ผู้ที่มีความสะอาด คือ ผู้รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ สามัคคี คือ ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกัน ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามที่ต้อง การ เกิดงานการอย่างสร้างสรรค์ ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ความกลมเกลียวกันในลักษณะเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่า ความสมานฉันท์ ผู้ที่มีความสามัคคี คือ ผู้ที่เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตน ทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อให้การงานสำเร็จลุล่วง แก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคิด ความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง แต่เห็นอกเห็นใจ เห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์ มีความเอื้ออาทร เอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจำเป็น ความทุกข์สุขของผู้อื่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ผู้ที่มีน้ำใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เข้าใจ เห็นใจ ผู้ที่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมือปฏิบัติการ เพื่อบรรเทาปัญหาหรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชน

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

ค่านิยมของสังคมไทย


👉ลักษณะค่านิยมของสังคมไทย 👈

Image result for ค่านิยมสังคมไทย

     สภาพของสังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามสภาพของสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา มีการติดต่อค้าขาย สัมพันธ์ทางการทูตกับทางประเทศ มีทุนให้ครูอาจารย์ไปดูงานต่างประเทศ การช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีแก่สถาบันการศึกษา ทำให้มีการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
     ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่านิยมตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของ
✅สังคมไทยด้วยดังนี้
 1.ยึดถือในพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับในอดีต มีการศึกษาพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ่ง ตลอดจนมีการปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ ข้อบังคับของสงฆ์ ประชาชนมีบทบาทตรวจสอบพฤติกรรมทางวินัยสงฆ์ได้ เพื่อป้องกันปัญหา การแสวงหาผลประโยชน์จากพุทธศาสนา
2.เคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ สังคมไทยต่างจากสังคมชาติอื่น กษัตริย์ไทยเปรียบเสมือนสมมติเทพ คอยดูแลทุกข์สุขของ ประชาชนทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรื่องในทุกด้าน จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจ
 3.เชื่อในเรื่องของเหตุผล ความเป็นจริง และความถูกต้องมากขึ้นกว่าใน ปัจจุบันสังคมไทยปลูกฝังให้คนไทยรู้จักคิดใช้ปัญญามีเหตุผล มากขึ้นเช่น ได้ออกกฎหมายเพื่อให้ความคุ้มครองเจ้าของความคิด ไม่ใครลอกเลียนแบบได้เรียกว่า "ลิขสิทธิ์ทางปัญญา” เป็นต้น
4.ค่านิยมในการให้ความรู้ การจะพาตนเองให้รอดจากปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้จำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยในสังคมปัจจุบันต้องเสาะแสวงหา
5.นิยมร่ำรวยและมีเกียรติ เพราะมีความเชื่อที่ว่าเงินทอง สามารถบันดาลความสุขตอบสนองความต้องการของคนได้ ขณะเดียวกันก็จะมีชื่อเสียงเกียรติยศตามมา
6.มีความเชื่อมั่นตนเองสูง เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยทุกคนกล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออกทางความคิดและการกระทำ มีบุคลิกภาพเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำที่ดี
7.ชอบแก่งแยงชิงดีชิงเด่น ลักษณะกลัวการเสียเปรียบ กลัวสู้เพื่อไม่ได้ เพื่อการอยู่รอดจึงต้องกระทำการแย่งชิง แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
8. นิยมการบริโภคของแพง เลียนแบบอย่างตะวันตก รักความสะดวกสบาย ใช้จ่ายเกินตัวเป็นการนำไปสู่
การมีหนี้สินมากมาย
9.ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทุกวันนี้คนล้นงาน จึงต้องรู้จักกำหนดเวลา การแบ่งแยกเวลาในการทำงาน การเดินทางและการพักผ่อน ให้ชัดเจน
10.ชอบอิสระ ไม่ชอบอยู่ภายใต้อำนาจใคร ไม่ชอบการมีเจ้านายหลายคน ในการทำงานมักประกอบอาชีพอิสระ เปิดกิจการเป็นของตนเอง
11.ต้องการสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงชายเท่าเทียมกัน หญิงไทยในยุคปัจจุบันจะมีความคล่องแคล่ว สามารถบริหารงานได้เช่นเดียวกับผู้ชายเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้ ภรรยาจึงไม่ใช้ช้างเท้าหลังต่อไป
12. นิยมการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน ซึ่งการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกที่มีความเจริญทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ ผู้ใหญ่ควรทำตน เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน เหมาะสมกับศีลธรรมจรรยา
13. นิยมภาษาต่างประเทศ เพราะต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจและ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ ตำราหรืออินเตอร์เน็ตมีความจำเป็น ต้องรู้ทางภาษาต่างประเทศ หากไม่มีก็
ยากต่อการศึกษาและนำไปใช้
     ค่านิยมทั่วไปของสังคมไทย มีทั้งดีและไม่ดี ซึ่งแล้วแต่ทัศนคติของแต่ละกลุ่มบุคคลหรือ กลุ่มคนตามโอกาสหรือวาระต่าง ๆ หากสิ่งใดที่เราเห็นว่าไม่ดีควรหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติ สิ่งใดเห็นว่าดีเป็นประโยชน์แก่
✅สังคมเราก็ควรปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างสังคมให้ดีขึ้น ค่านิยมทั่วไปของสังคมไทยมีดังนี้
1. ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริ
2. เลื่อมใสศรัทธาในพระพุ
3. นับถือเงินตรา ยึดมั่นในเงินทองสิ่งของมากกว่าความดี ให้ความยกย่องต่อผู้มีอำนาจ
4. ขาดระเบียบวินัย เช่นคำพูดที่ว่า "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”
5. เคารพผู้อาวุโส ยกย่องผู้มีความรู้
6. รักความสนุก ชอบความสบาย รักความอิสระ ไม่ชอบขัดใจใคร
7. มีความกตัญญูรู้คุณ รักพวกพ้อง มีความเอื้เฟื้อเพื่อแผ่
8. ไม่ตรงต่อเวลา ชอบผัดผ่อนเลื่อนเวลา
9. ขาดความอดทน ขาดความกระตือรือร้น เชื่อโชคลาง อยากรวย ชอบเล่นการพนัน
10. ชอบงานพิธี สอดรู้สอดเห็น ลืมง่าย ชอบนับญาติ
11. ชอบโฆษณา ชอบของแจกของแถม เห็นใครดีกว่าไม่ได้
12. ชอบต่อรอง ชอบผูดหรือบอกเล่าเกินความจริง

✅ค่านิยมสังคมเมือง 
1. ชอบหรูหรา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
2. นิยมสินค้า Brand name จากต่างประเทศ
3. ยกย่องผู้มีอำนาจเงินทอง
4. นิยมในเรื่องวัตถุ
5. เห็นแก่ตัว มีการแข่งขันกันมาก
6. เชื่อในเรื่องหลักการเหตุผล
7. ชอบเสี่ยงโชค
8. ร่วมงานหรือพิธีกรรมทางศาสนาน้อย 
9. ชีวิตอยู่กับเวลา แข่งขันกับเวลา
10. ขาดความมีระเบียบวินัย
11. ไม่ชอบเห็นใครเหนือกว่า เห็นแก่ตัว

Image result for ค่านิยมของคนไทย

✅ค่านิยมสังคมชนบท 
1. ประหยัด อดออม เศรษฐกิจพอเพียง
2. นิยมภูมิปัญญาไทย สิ้นค้าไทย
3. ยกย่องคนดี ความมีน้ำใจ
4. นิยมเรื่องคุณงามความดี มีจริยธรรม
5. เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นแก่ส่วนรวม
6. เชื่อโชคลาง ไสยศาสตร์
7. ชอบเล่นการพนัน
8. ชอบทำบุญ ร่วมพิธีกรรมทางศาสนามาก
9. ชีวิตขึ้นอยู่กับธรรมชาติ อาศัยธรรมชาติ
10. พึ่งพาอาศัยกันและกัน
11. มีความสันโดษ พอใจในสิ่งที่มีอยู่

✅ค่านิยมทางสังคมมีส่วนร่วมส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าแก่สังคมได้ จึงควรปลูกฝังให้มี 
ขึ้นในสังคม โดยค่านิยมพื้นฐานนั้น คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้ประกาศใช้เพื่อปลูกฝัง แก่ประชาชนชาวไทยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2525 มีดังนี้
1. การพึ่งพาตนเอง ขยันมั่นเพียร และมีความรับผิดชอบ เพื่อให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น
2. การประหยัดและอดออม ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวหรือส่วนรวมก็ตาม
3. การมีระเบียบและเคารพกฎหมาย ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อควมสงบสุขในสังคม
4. การปฏิบัติตามคุณธรรมของศาสนา คือ การทำความดีละเว้นความชั่ว
5. ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยการแสดงออกด้วยการกระทำ เช่น เสียภาษีให้รัฐ เคารพกฎหมายปฏิบัติตามหลักของศาสนา เคารพเทิดทูนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ใครมาทำลาย
ค่านิยมที่ควรแก้ไขในสังคมไทย
ค่านิยมของสังคมไทยนั้นไม่ใช้ว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อสังคมทั้งหมดดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะ ค่านิยมที่ไม่ควรยกย่องที่เกิดขึ้นในสังคมก็ยังมีอยู่มาก ซึ่งถ้าคนในสังคมปฎิบัติยึดถือ ย่อมก่อให้เกิด ผลเสียต่อสังคมนั้น ๆ ได้ดังนั้น ค่านิยมดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ควรแก้ไข ซึ่งมีดังนี้
1. ให้ความสำคัญกับวัตถุ หรือเงินตราย่อมก่อให้เกิดผลเสียได้รับการดูถูกดูแคลน เป็นที่รังเกลียดต่อสังคม
2. ยึดถือในตัวบุคคล ยกย่องผู้มีอำนาจ มีเงิน
3. รักพวกพ้อง รักความสนุกสนาน ความสบาย
4. รักความหรูหรา ฟุ่มเฟือย นิยมใช้สิ้นค้าแพง
5. ไม่ตรงเวลา ขาดระเบียบวินัย ขาดความกระตือรือร้นและความอดทน
6. เชื่อเรื่องโชคลาง อำนาจเหนือธรรมชาติ ชอบเล่นการพนัน
7. ขาดความเคราพผู้อาวุโส
8. นับถือวัตถุมากกว่าพระธรรม ทำบุญเอาหน้า หวังความสุขในชาติหน้า
9. นิยมตะวันตกลืมภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาของชาติื จนทำให้ภาษาไทยผิดเพี้ยน
10. พูดมากกว่าทำ หน้าใหญ่ใจโต สอดรู้สอดเห็น เห็นใครดีไม่ได้
     ค่านิยมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้เช่นเดียวกับความเชื่อ ซึ่งแตกต่างกันไปตามสังคมและวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปฎิบัติอยู่ก็ควรจะระลึกไว้ว่า สิ่งใดดี สิ่งใดเหมาะสม ในสภาพสังคม ปัจจุบันเราจึงควรเลือกให้ได้ว่าค่านิยมใดคือค่านิยมที่ดีและควรปฎิบัติ ถ้าเด็กหรือเยาวชนในวันนี้เป็นผู้ที่มีคุณค่า มีปัญญา เป็นผู้มีคุณธรรมและสติปัญญาในทางที่ถูกต้องสังคมไทยจะได้ผู้ใหญ่ที่ดีในอานาคต ดังนั้น การอบรมเยาวชนให้เป็นคนดีสามารถปฎิบัติได้ดังนี้
1. สถาบันครอบครัวสามารถปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้เยาวชนได้ โดยพ่อแม่ ผู้อบรมเลี้ยดูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกเพื่อให้เขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกายและจิตใจ
2. สถาบันการศึกษา ให้การอบรมสั่งสอนในด้านความรู้ คิดเป็น ทำเป็น มีคุณธรรม จริยธรรม โดยครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ เพื่อสร้างเขาให้เป็นคนดี
3. การปลูกฝังทั้ง 2 สถาบัน นอกจากจะอบรมสั่งสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว ควรปลูกฝังให้เยาวชนรู้จักใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผลแห่งความถูกต้อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฎิบัติ ที่ว่าสิ่ง ที่ตนได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่ดีถูกต้อง

Image result for ค่านิยมของคนไทย

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

ครูบ้านนอก

ครูบ้านนอก


ครูบ้านนอก เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2521 กำกับโดยสุรสีห์ ผาธรรม เป็นภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคมในชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับครูหนุ่มสาวที่เพิ่งจบใหม่จากวิทยาลัยครู และเดินทางไปสอนหนังสือในถิ่นทุรกันดาร ขาดไฟฟ้า แหล่งน้ำ และการสาธารณสุข แสดงให้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่แบบเก่าของชาวชนบทในภาคอีสาน และปัญหาความขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
ภาพยนตร์ถ่ายทำที่บ้านดอนเมย ตำบลนาจิก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือจังหวัดอำนาจเจริญ) ที่เป็นบ้านเกิดของคำหมาน คนไค เจ้าของบทประพันธ์  โดยสมมุติเป็น "บ้านหนองหมาว้อ" ใช้นักแสดงหน้าใหม่ทั้งหมด เข้าฉายครั้งแรกวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ที่โรงหนังศาลาเฉลิมไทย  ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ ได้รายได้ถึง 9 ล้านบาท  ได้รับความชื่นชมจากนักวิจารณ์ และถูกนำไปฉายยังต่างประเทศ ได้รับรางวัลภาพยนตร์สร้างสรรค์ และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากประเทศรัสเซีย 
ในปี พ.ศ. 2552 สุรสีห์ ผาธรรมได้นำภาพยนตร์กลับมาสร้างใหม่โดย สหมงคลฟิล์ม นำแสดงโดย พิเชษฐ์ กองการ ฟ้อนฟ้า ผาธรรม และหม่ำ จ๊กมก ออกฉายในวันครู 14 มกราคม พ.ศ. 2553  ใช้ชื่อภาพยนตร์ว่า ครูบ้านนอก บ้านหนองฮีใหญ่ 

เนื้อเรื่อง

ในงานเลี้ยงส่งนักศึกษาในวิทยาลัยครูแห่งหนึ่ง ทุกคนสนุกสนานกับการสังสรรค์จากการจัดงานอำลาสถานบันจากวงดนตรีสมัยใหม่ ในขณะที่ ครูปิยะ เดินเลี่ยงออกจากงานมายืนชมนิทรรศการวิถีชีวิตของชาวอีสานอย่างสนใจ นับเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตัดสินใจสอบบรรจุเป็นเพื่อรับราชการครูที่ภาคอีสาน โดยบรรจุครั้งแรกที่โรงเรียนบ้านหนองหมาว้อ พร้อมกับ ครูดวงดาว หญิงสาวรูปร่างบอบเบา และ ครูพิสิษฐ์ ครูหนุ่มมาดสำอางค์ โดยมี ครูคำเม้า เป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านหนองหมาว้อมีเพียงอาคารเรียนชั่วคราวชั้นเดียวพื้นติดดิน นักเรียนต้องเรียนรวมกันโดยไม่มีการแบ่งกั่นห้องเป็นพื้นที่เป็นสัดส่วนในแต่ละห้อง สภาพนักเรียนสวมเสื้อผ้าขาด ร่างกายมอมแมม ครูปิยะคือตัวแทนของหนุ่มสาวที่มีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์เพื่อพัฒนาการศึกษาและสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า มีการนำความรู้ภูมิปัญญาการเล่านิทานในท้องถิ่นของ เคนคนผีบ้า ผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้าน มาเป็นประยุกต์เป็นการสอนการท่องจำในชั้นเรียน
ในขณะที่ครูใหญ่คำเม้าครูรุ่นเก่าที่ทำหน้าที่สอนหนังสือโดยยึดหลักปรัชญา “เลข คัด เลิก” ส่วนครูพิสิษฐ์ครูหนุ่มเจ้าสำราญที่เคยใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องจำใจมาสอบบรรจุครู ต่อมาครูพิสิษฐ์มีคำสั่งให้ย้ายไปสอนในเมืองเพราะมีเรื่องชกต่อยกับเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจราชการที่โรงเรียนลวนลามครูดวงดาว ครูปิยะได้เก็บความสงสัยไว้ในใจเกี่ยวกับรถขนไม้ที่วิ่งผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน เพราะครั้งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ท่อนซุงขนาดใหญ่หล่นจากรถบรรทุกตกลงมาในสนามโรงเรียน ครูปิยะงพบว่าทั้งหมดเป็นไม้เถื่อน จึงแอบเข้าไปถ่ายรูปในปางไม้ของ นายมังกรผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเพื่อส่งข่าวไปให้หนังสือพิมพ์ จึงทำให้ครูปิยะต้องหนีภัยมืดออกจากบ้านหนองหมาว้อไปอาศัยอยู่กับหลวงตาอยู่ในเมือง แต่ด้วยอุดมการณ์และจิตสำนึกของความเป็นครู ครูปิยะจึงกลับคืนมาสอนที่โรงเรียนโรงเรียนบ้านหนองหมาว้ออีกครั้งท่ามกลางการต้อนรับของครูและนักเรียน เพียงแต่ครูปิยะขี่จักรยานเข้าสู่รั้วโรงเรียนเท่านั้นมือปืนได้ยิงปืนโดนสู่ร่างของครูปิยะจนจักรยานล้มลงสู่พื้นดิน ท่ามกลางความตกตะลึงของครูและนักเรียน จนครูปิยะได้เสียชีวิต สิ้นใจตาย